
การใช้โฉนดที่ดินเป็นหลักประกันเงินกู้เป็นวิธีที่เจ้าของที่ดินนิยมใช้กันมาก เพราะโฉนดถือเป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าและได้รับการยอมรับจากทั้งธนาคารและบริษัทเอกชน การกู้เงินโดยใช้โฉนดสามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่พบมากคือการจำนองและการขายฝาก ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสำคัญ
การจำนองคือการนำโฉนดที่ดินไปค้ำประกันเงินกู้ โดยผู้กู้ยังคงมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ตามปกติ แต่หากผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้สามารถฟ้องร้องเพื่อบังคับขายทอดตลาดที่ดินได้ การจำนองมักใช้กับการกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ต้องการความมั่นคงสูง
ในขณะที่การขายฝากคือการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปยังผู้ให้กู้ทันที แต่ผู้กู้ยังมีสิทธิไถ่ถอนที่ดินคืนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญา หากไม่ไถ่ถอนภายในกำหนด ผู้ให้กู้จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างถาวร การขายฝากจึงมีความเสี่ยงสูงกว่าการจำนอง แต่ก็มีข้อดีคือได้เงินรวดเร็วและไม่ซับซ้อน
ข้อแตกต่างสำคัญอีกประการคือเงื่อนไขและระยะเวลาในการชำระหนี้ การจำนองมักมีระยะเวลาผ่อนยาวและดอกเบี้ยชัดเจน ขณะที่การขายฝากจะมีการกำหนดเวลาไถ่ถอนที่แน่นอน เช่น 1 ปี หรือ 3 ปี หากไม่สามารถไถ่ถอนได้ตามกำหนด ที่ดินจะตกเป็นของผู้ให้กู้ทันที
ดังนั้น ผู้ที่คิดจะใช้โฉนดที่ดินค้ำประกันเงินกู้ควรพิจารณาให้รอบคอบว่าแบบใดเหมาะสมกับความต้องการ หากต้องการความปลอดภัยและมีความสามารถในการผ่อนชำระสม่ำเสมอ การจำนองอาจเหมาะสมกว่า แต่หากต้องการเงินด่วนและมั่นใจว่าสามารถไถ่ถอนคืนได้ภายในเวลาที่กำหนด การขายฝากก็เป็นทางเลือกที่ใช้ได้
สรุปแล้ว การจำนองและการขายฝากเป็นวิธีการใช้โฉนดที่ดินค้ำประกันเงินกู้ที่แตกต่างกัน ผู้กู้ควรทำความเข้าใจเงื่อนไข ข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงของแต่ละวิธีให้รอบคอบ เพื่อป้องกันการสูญเสียสิทธิในที่ดินโดยไม่ตั้งใจ